นะโม
วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
รูปภาพ พระมานะ จิรวฑฺฒโน "คิดดี ทำดี" namo.us
ประวัติส่วนตัว
ชื่อฉายา : พระมานะ จิรวฑฺฒโน คติพจน์ : คิดดี ทำดี
คำว่า จิรวฑฺฒโน อ่านว่า จิ-ระ-วัด-ทะ-โน แปลว่า ผู้เจริญยั่งยืน
อุปสมบท เมื่ออายุ 26 ปี ณ วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2549 เวลา 05.50 น.
อุปสมบท ณ วัดจำปาขี้เหล็ก ต.หนองบัวทอง อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์
พระอุปัชฌาย์ พระครูภาวนาประสุต (เจ้าอาวาสวัดจำปาขี้เหล็ก ปัจจุบัน มรณภาพแล้ว)
พระกรรมวาจาจารย์ พระหา โสภโน (รองเจ้าอาวาส วัดหนองบัวทอง ปัจจุบัน เป็น เจ้าคณะตำบล)
พระอนุสาวนาจารย์ เจ้าอธิการภูชิต ยสินฺธโร (ปัจจุบันเป็น พระครูธรรมานุรักษา เจ้าคณะ ต.ทับใหญ่)
สองพรรษาแรก อยู่ วัดดอกจานรัตนาราม อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ช่วยงานสถานีวิทยุ FM 91.75 MHz
สองพรรษาต่อมา ชาวมามามนต์ ให้อยู่ วัดสว่างโนนแคน อ.รัตนบุรี จ.สรินทร์ ไปเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส
หนึงพรรษาถึงปัจจุบัน ย้ายมาอยู่ วัดโพธิ์ศรีสว่าง อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ เพื่อสะดวกในการเดินทางไปเรียน
วุฒิการศึกษา ทางธรรม
ปัจจุบันเป็น นิสิต มจร.กำลังศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์ เอกการปกครอง (ใกล้จบแล้ว)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสุรินทร์ (เป็นมหาลัยสงฆ์) สอบได้ นักธรรมโท
ผ่านการอบรม หลักการเขียนบทความทางวิชาการ โครงการวิสาขบูชาโลก มจร.นานาชาติ
ผ่านการอบรมเป็น พระนักเทศน์ สายตะวันออก รุ่นที่ 9
ผ่านการอบรมเป็น ครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน มมร.
ผ่านการอบรม พระกรรมฐานเบื้องต้น ฝึกจิต การเดินจงกลม นั่งสมาธิ และอื่น
ผลงาน ทางธรรมะ
เคยร่วมเป็น พระธรรมฑูตสัญจร เทศน์สอนธรรมะ ตามหมู่บ้าน และในโรงเรียน ในเขตอำเภอรัตนบุรี
เคยร่วมเป็น พระสอนศีลธรรมในโครงการต่างๆ เช่น ศีลธรรมจริยธรรม และคุณธรรมนำความรู้ เป็นต้น
เคยเป็น พระวิทยากร แสดงธรรมเทศนา จัดรายการวิทยุ เช่น หลวงตาโสทิ่ม FM 91.75 และคลื่นอื่นๆ
เคยเป็น พระพัฒนาวัด เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทำบุญ สร้างห้องสมุด ถวายให้กับ วัดสว่างโนนแคน
จังหวัดสุรินทร์ ตอนนี้ห้องสมุด มีหนังสือจำนวนมาก และศาลานั่งอ่านหนังสือได้ พร้อมใช้งานครบแล้ว
ปัจจุบันเป็น พระเผยแผ่ ผู้คิดค้นผลิตสื่อธรรมะแปลกใหม่ ทำให้ ธรรมะเป็นเรื่อง เข้าใจง่าย เรียนสนุก
ปลุกจิตสำนึกรักบ้านเกิด เราพัฒนาได้ เริ่มต้นที่เรา ไม่ใช่ที่เงิน เช่น ปลูกต้นผลไม้กินได้ บนที่ดินว่าง
และเป็นผู้รวบรวมสื่อการสอนอาชีพแก้จนต่างๆไว้ เพื่อแนะนำความรู้ สอนอาชีพแก้จนให้ผู้สนใจฟรี
สื่อธรรมะ ที่เคยทำมาแล้ว แต่คิดว่ายังไม่เหมาะนำมาใช้งานจริง จึงหยุดทำแล้ว เช่น หนังสือการ์ตูน
เคยทำเป็นเล่มเล็กๆแจกฟรี แต่เด็กบ้านนอกอ่านหนังสือไม่ค่อยออก จึงไม่ค่อยได้ประโยชน์มากนัก
และเกมส์ธรรมะ เคยทำไว้ 6 เกมส์เล่นในคอมพิวเตอร์ได้ แต่คิดว่ายังไม่สามารถสู้เกมส์ออนไลน์ได้
ปัจจุบัน สื่อธรรมะ ที่คิดไว้และกำลังทำอยู่ คือ
หนังสือร่วมที่อยู่ส่งชิงโชค ฉบับกระเป๋า (มีทั้งแบบผลิตแจกฟรี และแบบจำหน่าย 30 บาท ในมินิมาร์ท)
ภายในเล่ม : มีที่อยู่ส่งชิงโชคทุกยี่ห้อ มีสอนการรีไซด์เคิลขยะ มีการ์ตูนธรรมะตอนสั้นๆ มีรณรงค์ต่างๆ
หนังสือ อุปมา-อุปไมย รวมภาพวาดปริศนาสอนธรรม ฉบับที่ 1 วางแผนการผลิตไว้ 9 เล่ม เล่มละ 99 รูป
ภายในเล่ม : มีภาพวาดอุปมาอุปมัย ที่วาดภาพและบรรยายธรรมไว้พร้อม แถม CD เทศน์อธิบายขำขัน
หนังสือ ธรรมะมีกึ๋น
ภายในเล่ม : มีการรวบรวมเกล็ด ความรู้ทางธรรมะ ที่สั้นและเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง เป็นสภาวะธรรม
ไม่จำกัดความรู้ แค่ในตำรา ของศาสนาพุทธ แต่เป็นการแสวงหาความรู้จริง จากธรรมชาติ แบบมีกึ๋น
นอกจากจะผลิตหนังสือขายแล้ว ยังแถมฟรี การอบรมธรรมะ แบบถึงกึ๋น ที่เรียนรู้ได้ อย่างสนุกสนาน
ผู้เรียนร่วมศึกษาธรรมชาติ และปฏิบัติได้ด้วยตัวผู้อบรมเอง ยกตัวอย่างเช่น การเรียนรู้วิธีคลายเครียด
แบบมีกึ๋น โดยการสวดมนต์ แบบออร์เกสต้า การใช้เสียง บริหารร่างกาย ให้หัวเราะเองได้ เป็นต้น
เว็บไซด์ทำบุญออนไลน์
อันนี้ อยากทำมาก เพราะพระบ้านนอกคอกนา รายรับ น้อยกว่า พระใน กทม ราวฟ้ากับดิน ถ้ามีเว็บนี้
จะช่วยเป็นทุนให้พระบ้านนอกคอกนา มีเม็ดเงินในการสร้างงานสร้างอาชีพ พัฒนาชนบท ได้อีกมาก
เกมธรรมะ แบบกล่อง
เกมเจ้ายุทธจักรธรรมะ ปุจฉา - วิสัชนา
รูปแบบเป็นเกมแนวถามตอบปัญหาธรรมะ โดยมีตัวละครเป็น จอมยุทธ มีชื่อตามแต่ผู้เล่นจะอยากตั้งกันไป
เพื่อช่วงชิงความเป็น เจ้ายุทธจักรธรรมะหรือ ผู้รวยในธรรมะหรือ ผู้รู้ธรรมะมากนั้นเอง โดยวิธีการถามตอบ
ปัญหาธรรมะกันไปมา ผู้ตอบถูกจะได้คะแนนเพิ่ม ผู้ตอบผิดจะถูกลดคะแนนลง หมดเวลาที่ท้ากันไว้เมื่อใด
ใครได้คะแนนมากกว่า เพราะตอบคำถามได้ถูกต้องมากที่สุด จะเป็น ผู้ชนะ ได้เป็น เจ้ายุทธจักรธรรมะทันที
ได้ครอบครอง คัมภีร์เจ้ายุทธจักรธรรมะด้วย แต่แพ้ชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเกมนี้ ทำให้เราได้มีเพื่อนที่ดี
เป็นกัลยานมิตร มีความรู้ธรรมะมาก
เป้าหมายสูงสุดในการบวช ช่วงอายุ ยังไม่ถึง 60 ปี
มุ่งผลิตสื่อเผยแผ่ธรรมะ ในหลากหลายรูปแบบ สอนอาชีพแก้จน ช่วยเหลือผู้อื่น ทำบุญอุทิศให้พ่อแม่
เป้าหมายสูงสุดในการบวช ช่วงอายุ หลัง 60 ปีขึ้นไป
มุ่งพระนิพพาน สละทรัพย์สินเงินทอง ยศศักดิ์ พยายามตัดขาดจากกิเลส ละทิ้งความยึดมั่นถือมั่น
เป้าหมาย ถ้ามีเหตุต้องลาสิกขา
มุ่งเป็นฆารวาส ทำมาหากิน ด้วยอาชีพสุจริต อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ตามแต่ศักยภาพจะทำได้
วุฒิการศึกษา ทางโลก
เคยเป็น ผู้นำนักศึกษา ระดับอนุปริญญาตรี วิชาเอกการตลาด จาก มหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา
ผ่านการอบรมเป็น ผู้นำเยาวชน ต่อต้านยาเสพติด อบรมบน เขาใหญ่ ณ โรงแรมโบร์นันซ่าแรนด์
ผ่านการอบรมเป็น ผู้นำชุมชน ต่อต้านยาเสพติด ตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนบุญวัฒนา จ.นครราชสีมา
เคยเป็น นักศึกษา ปวช.ปี 3 คณะวิชาเอก ออกแบบผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรม ม.ราชมงคลอีสาน
เคยเรียนจบ ม.6 จาก ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน (กศน) จังหวัดนคราชสีมา
เคยเรียนจบ ม.4 จาก โรงเรียน บุญวัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
เคยเรียนจบ ป.6 จาก โรงเรียน วัดสระแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
เคยเรียนจบ ป.4 จาก โรงเรียน มารีย์วิทยา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
เคยเรียนจบ ป.3 จาก โรงเรียน บ้านปะหลาน อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
ผลงาน ทางโลก ที่เคยได้รับ
รางวัล เหรียญทอง ชนะเลิศ อันดับที่ 1 ม.ปลาย การแข่งขันประดิษฐ์ของเล่นวิทยาศาสตร์ ภาคอีสาน
รางวัล รองชนะเลิศ อันดับที่ 1 การแข่งขันนักพูดทอล์คโชว์ ระดับปริญญาตรี ม.ราชภัฎนครราชสีมา
สถานะเดิม
ชื่อจริง นายมานะ มั่นยืน
เกิดวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2523
สถานที่เกิด โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา
บิดาชื่อ นายมานิต มั่นยืน
(อดีตเป็น ครูสอนอิเล็คโทรนิค ที่อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม ภูมิลำเนาเดิม จ.สุรินทร์ เสียชีวิตแล้ว)
มารดาชื่อ นางลัดดาวัลย์ มั่นยืน (รัตนสงคราม)
(อดีตเป็น ผู้ช่วยบริหารงาน สส.นาวี สจ.นิรันทร์ อ.บัวใหญ่ ภูมิลำเนาเดิม จ.นครราชสีมา เสียชีวิตแล้ว)
ที่อยู่ตามบัตรประชาชน 52 หมู่ 9 ตำบลไผ่ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ 32130
เจริญพร
พระอาจารย์มานะ จิรวฑฺฒโน "คิดดี ทำดี"
มือถือ 086 2547199
อีเมล DMTV1@live.com
ยินดีต้อนรับสู่ นะโมทีวี หรือ namotv ตั้ง นะโม ก่อนแสดงธรรมเผยแพร่ สื่อธรรมะนานาชนิด ทำความดีเพื่อความดี ตอบแทนพระคุณมารดาบิดา
นะโมทีวี บล๊อกเป็นการรวบรวม บทความ ที่เป็นประโยชน์ในการเผยแพร่สื่อธรรมะนานาชนิดให้สนุกสนานทันสมัย ตามความเหมาะสม ผ่านสื่อโทรทัศน์ เคเบิ้ลทีวี อินเตอร์เน็ต youtube มือถือ หนังสือ และอื่นๆ
เนื่องจากมีคณะทีมงานโทรทัศน์หลายแห่ง สนใจอยากทำรายการธรรมะ ที่ถูกต้อง สนุกสนาน
รายการโทรทัศน์ กับ ศาสนา
รายการโทรทัศน์ เกี่ยวกับ พระพุทธศาสนา ในปัจจุบัน
2 รายการ ธรรมะฟรีคอนเสิร์ต เพื่อสร้างความบันเทิงไปพร้อมๆกับเสริมความรู้คู่คุณธรรม
บทความข้อคิดเห็น ในการจัดทำ รายการธรรมะทางโทรทัศน์
โครงการ ผลิตสื่อธรรมะพุทธปัญญา
บทความ ข้อคิดเห็น ในการจัดทำ รายการธรรมะทางโทรทัศน์
จัดทำโดย พระอาจารย์มานะ จิรวฑฺฒโน “คิดดี ทำดี” โทร. 086 2547199
http://www.NAMO.us อีเมล DMTV1@live.com
เนื่องจากมีคณะทีมงานโทรทัศน์หลายแห่ง สนใจอยากทำรายการธรรมะ ที่ถูกต้อง สนุกสนาน
อาตมาเคยเป็น ผู้นำนักศึกษา ม.ราชภัฎ เอกการตลาด เคยเรียน คณะออกแบบ ม.ราชมงคลอีสาน
มาก่อนจะบวชเรียน มจร. จึงพอจะให้คำเสนอแนะ คณะทีมงานรายการโทรทัศน์ผู้สนใจได้ดังนี้
รายการโทรทัศน์ กับ ศาสนา
รายการโทรทัศน์เกี่ยวกับศาสนา เป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางจิตใจของผู้นับถือ
การจะกล่าวอ้างหลักคำสั่งสอนของศาสนาใด จึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้ถูกต้องก่อนเสมอ
เช่น ศาสนาพุทธ เน้นความถูกต้องเรื่อง พระธรรม (คำสั่งสอน) และพระวินัย (ศีลที่ควรประพฤติ)
ดังนั้น รายการธรรมะพุทธศาสนา ก็สามารถทำบันเทิงได้ แต่ไม่ควรละเมิด พระวินัยหนักร้ายแรง
ทุกศาสนาล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดี รู้รักสามัคคีกัน จึงไม่ควรทำรายการธรรมะแบบแข่งขันกัน
เพื่อเน้น เอาแพ้ เอาชนะ เยอะเย้ยกัน ทำให้เป็นศัตรู สร้างสังคมแห่งความแตกแยก ไม่รู้รักสามัคคี
เกมส์ธรรมะต่างๆ จึงควรมุ่งพัฒนาปัญญา สามัคคีธรรม มากกว่า การแข่นขันเพื่อหวังเอาแพ้ชนะ
รายการโทรทัศน์ เกี่ยวกับ พระพุทธศาสนา ในปัจจุบัน
พุทธมีรายการธรรมะอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่เป็นการสัมภาษณ์เศรษฐี ดาราดัง มีธรรมเทศนา
การ์ตูนธรรมะรายการเวรกรรมมีจริง ภาพยนตร์หนังสั้น คนเลวชดใช้กรรม จากการกระทำชั่ว
รายการความเชื่อ งมงาย ขายวัตถุมงคล พาผู้ชมเที่ยววัด ชมสถานที่สำคัญต่างๆในพุทธศาสนา
รายการเคเบิ้ล วัดเศรษฐี เน้นโฆษณางานวัดตนเอง บางครั้งหวังลาภสักการะ จึงบิดเบือนคำสอน
บุคลิกภาพ และความเหมาะสม ของ ผู้แสดงธรรมะ พุทธศาสนา
เนื่องด้วย ภิกษุ สามเณร นั้นไม่ได้ใส่ กางเกงใน ถ้าผ้าสบงบาง หรือ แสงไฟส่องสว่างเกินไป
ย่อมหมายถึง ภาพอันไม่เหมาะสม จะตามมา ทางรายการจึงควรมีแท่นยืน เพื่อปิดบังอวัยวะเพศ
หรือ พยายามไม่ส่องแสงสว่างใส่สบง มากเกินไป ภิกษุ สามเณร ที่บรรพชาหรือบวช เข้ามาได้นั้น
ต้องไม่ใช่เกย์ ตุ๊ดแต๋ว กระเทย ตุ้งติ้ง ดังนั้นไม่ควรนำ ภิกษุ สามเณร ประเภทนี้ มาออกสื่อโทรทัศน์
เพราะจะถูกมองว่า ไม่ดีเป็นรายการที่มุ่งทำลายพุทธศาสนา หรือ เป็นรายการจับผิดศาสนาพุทธไป
วิธีคิดทำ รายการโทรทัศน์ พระพุทธศาสนาให้มีความสนุกสนาน แปลกใหม่ ทำได้ ดังนี้
อันดับแรก ต้องแสวงหาความรู้ รูปแบบรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับ พุทธศาสนา ที่มีอยู่เดิม
ไว้เป็นฐานข้อมูลในการคิดพัฒนา รูปแบบรายการโทรทัศน์ให้ดีกว่าเดิม พิจารณาถึง ข้อดี ข้อเสีย
ไว้เป็นฐานข้อมูลในการคิดพัฒนา รูปแบบรายการโทรทัศน์ให้ดีกว่าเดิม พิจารณาถึง ข้อดี ข้อเสีย
เหตุ+ผลที่จะตามมาเมื่อทำ พยายามเพิ่มเนื้อหาธรรมะให้หลากหลาย มีความสนุกสนาน มากขึ้น
อันดับที่สอง พิจารณารูปแบบรายการโทรทัศน์ของเราว่า ผิดจาก.. พระธรรม (คำสั่งสอน)
และพระวินัย(ศีลที่ควรประพฤติ)หรือไม่ ถ้าผิดจากสองข้อนี้ ไม่ควรทำ จะเสียเงินเสียเวลาเปล่า
และพระวินัย(ศีลที่ควรประพฤติ)หรือไม่ ถ้าผิดจากสองข้อนี้ ไม่ควรทำ จะเสียเงินเสียเวลาเปล่า
อันดับที่สาม พิจารณาถึง การทำผิด พระวินัย (ศีลที่ควรประพฤติ) บางหัวข้อที่ไม่ร้ายแรง
ว่ารูปแบบรายการ น่าจะทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้จะแก้ไข ข้อจงใจผิดศีล ให้สังคมยอมรับได้ยังไง
อันดับที่สี่ พิจารณาถึงแหล่งเงินทุน ช่องทางโอกาสในการนำเสนอจัดทำรายการโทรทัศน์
แผนบริหารจัดการทีมงาน แผนรับมือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้านกฎหมาย พระธรรม พระวินัย
ศีลธรรม สภาวะความรู้สึกของผู้ชมคนส่วนใหญ่ และเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะถ่ายทำ
ศีลธรรม สภาวะความรู้สึกของผู้ชมคนส่วนใหญ่ และเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะถ่ายทำ
ข้อควรระวัง รายการเกี่ยวกับศาสนา เป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางด้านจิตใจ การจัดทำรายการ
จึงควรมองเป็นเรื่องสำคัญ ต้องวางแผนบริหารให้ดี มีเวลาเตรียมการให้พร้อม ก่อนถ่ายทำจริง
รายการธรรมะบันเทิง แบบที่ยังไม่มีใครทำ และสามารถทำได้จริงทันที มีดังนี้
1 รายการ คติธรรมนำชีวิต สามัคคีประเทศไทย เพื่อสร้างสังคมปรองดองด้วยธรรมะทุกศาสนา
มุ่งเน้นนำเสนอ คติธรรมนำชีวิตที่ดีงามของศาสนาต่างๆที่มีอยู่ในประเทศไทย หลักๆมีอยู่
3 ศาสนา คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม รายการนี้เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในคำสอน
ของทุกศาสนา โดยแบ่งเวลาให้แต่ละศาสนา นำเสนอ คติธรรมนำชีวิต ท่านละ 1 ช่วงรายการ
ช่วงสุดท้าย ร่วมสัมมนาสร้างความสัมพันธ์อันดี แต่ละศาสนาชื่นชมคำสอนของกันและกัน
เมื่อคนไทยทั่วประเทศได้รับชมรายการนี้แล้ว น่าจะช่วยทำให้คนไทยรู้รักสามัคคีกันมากขึ้น
แบบนี้ ไม่ผิดศีล เพราะ ศาสนาพุทธไม่ได้ห้ามชาวพุทธ ยกย่องสรรเสริญ คำสอนศาสนาอื่น
ซึ่งศาสนาอื่นก็น่าจะทำได้เช่นกัน เพราะแค่กล่าวชื่นชม ไม่ได้หมายถึงเปลี่ยนนับถือศาสนาอื่น
เราสามารถประยุกต์เอา คติธรรมนำชีวิต ที่ดีงาม ของแต่ละศาสนามาประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตจริง
2 รายการ ธรรมะฟรีคอนเสิร์ต เพื่อสร้างความบันเทิงไปพร้อมๆกับเสริมความรู้คู่คุณธรรม
มุ่งเน้นการนำเสนอธรรมะคำสั่งสอนที่ดีงาม มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงได้
ในรูปแบบใหม่ คือ เทศน์เดี่ยวไมโครโฟน ประกอบกับ ฟังผลงานเพลง จากวงดนตรีชื่อดัง
พอเทศน์จบแล้ว อาจจะมีการสัมภาษณ์สด สนทนาธรรม ระหว่าง ศิลปิน กับ พระนักเทศน์
รูปแบบนี้ ไม่ผิดศีล เพราะ พระไม่ได้ร้องเพลง ส่วนการฟังเพลง เป็นเรื่องที่สังคมยอมรับได้
คณะผู้จัดทำรายการ สามารถสลับปรับเปลี่ยน พระนักเทศน์และศิลปิน มานำเสนอได้ตลอด
สามารถประยุกต์เอา เพลงศิลปินพื้นบ้าน นักดนตรีพื้นเมือง รักษาวัฒนธรรมที่ดีงามได้ด้วย
3 รายการ ธรรมะซุปเปอร์โจ๊ก เพื่อสร้างความบันเทิงไปพร้อมๆกับเสริมความรู้ธรรมะที่ถูกต้อง
มุ่งเน้นการนำเสนอ ละครตลกธรรมะสั้นๆ ที่ทันยุคสมัย ได้คติสอนใจ และธรรมะที่ดีงาม
มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงได้ รายการนี้สามารถเพิ่มเติม ช่วงธรรมะตลกๆได้
เช่น มุขตลกธรรมะคาเฟ่ สองคู่หูสนทนากัน สวนมุขตลกกันไปมา แต่มีสาระธรรมน่ารู้ปะปน
มุขตลกธรรมะมีกึ๋น พระอาจารย์จอมกวน บรรยายธรรม รูปภาพวาด อุปมา อุปไมย อันบันเจิด
มุขตลกธรรมะกู๊ดไอเดีย โชว์ผลงานไอเดียสุดซ่า ของสองคู่หูธรรมะโดนใจ โดยการนำเสนอ
แปลกใหม่ นำสิ่งของรอบตัว มาแซกคติธรรมคำสอนสุดฮา เช่น การทำซองบุหรี่ขนาดใหญ่
แปลกใหม่ นำสิ่งของรอบตัว มาแซกคติธรรมคำสอนสุดฮา เช่น การทำซองบุหรี่ขนาดใหญ่
จำนวนสองซอง แกะช่องข้างบนด้านหน้าซอง ให้คนเข้าไป ใช้ปากกาเมจิก หรือ ป้าย เขียน
ข้อความเตือนสติคนสูบุหรี่แข่งกันว่า คติธรรมใครโดนใจกว่ากันหรือโชว์ผลงานจากทางบ้าน
ข้อความเตือนสติคนสูบุหรี่แข่งกันว่า คติธรรมใครโดนใจกว่ากันหรือโชว์ผลงานจากทางบ้าน
..เป็นต้น..
บทความข้อคิดเห็น ในการจัดทำ รายการธรรมะทางโทรทัศน์
จัดทำโดย พระอาจารย์มานะ จิรวฑฺฒโน “คิดดี ทำดี” โทร. 086 2547199
http://www.NAMO.us อีเมล DMTV1@live.com
www.NAMO.us
สื่อธรรมะพุทธปัญญา
เน้นผลิต สื่อธรรมะนานาชนิด ประเภทประเทืองปัญญา สื่อแปลกใหม่ ที่ไม่ค่อยมีใครทำ
แต่ถูกต้อง ตามหลักคำสอน ธรรมเทศนา, แผ่นพับเวอร์ชัวร์, เกมธรรมะ ปุจฉา - วิสัชนา,
หนังสือรวมรูปภาพ อุปมา - อุปไมย, หนังสือรวมที่อยู่ส่งชิงโชค - รีไซเคิล - ธรรมะน่ารู้,
พยายามคิดค้นทำการผลิต สื่อธรรมะให้มีความสนุกสนาน แปลกใหม่ ใกล้ตัว เข้าใจง่าย
โครงการ ผลิตสื่อธรรมะพุทธปัญญา
ประวัติความเป็นมา
เนื่องจาก อาตมภาพ พระมานะ จิรวฑฺฒโน ในอดีต แด่เดิมนั้น ตอนเป็นฆารวาส มีความคิดเห็นว่า
สื่อธรรมะยังไม่หลากหลาย ทั้งๆที่ ธรรมะคำสอนที่ดีงาม สามารถพัฒนาคนให้ชาญฉลาดได้
พุทธ มีธรรมะคำสั่งสอนที่ดีงามมากมาย สามารถทำได้จริง เช่น. ธรรมะสอนอริยสัจสี่ ให้เรา
ใช้สติปัญญา แก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ ธรรมะสอนให้เราฉลาดใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขทุกเวลา
ธรรมะสอนให้เรารู้วิธีสร้างตนอย่างไรจึงจะร่ำรวย ธรรมะสอนให้เรารู้วิธีเรียนอย่างไรจึงจะฉลาด
ธรรมะสอนให้เราใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ไม่รวยก็มีความสุขได้ เป็นต้น ธรรมะจึงดีมีคุณค่ามาก
เมื่อมีโอกาสได้บวช จึงพยายามคิดค้น ผลิตสื่อธรรมะให้มากขึ้น มีความหลากหลาย แปลกใหม่
มีความสนุกสานาน เข้าใจง่าย สามารถนำมาใช้ได้จริง ร่วมสร้างสังคมตื่นรู้ มีเหตุผล เรืองปัญญา
เหตุผลที่ตั้งชื่อว่า “สื่อธรรมะพุทธปัญญา” เพราะ...
ต้องการเน้นผลิตสื่อธรรมะ ประเภทประเทืองปัญญาเป็นหลัก
มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคนให้มีสติปัญญา เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เน้นปัญญาที่นำความสุขมาให้
พุทธปัญญา หมายถึง ปัญญาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พุทธะ (ภาษาบาลี พุทฺธ แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน") หมายถึง บุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 แล้วอย่างถ่องแท้
คือ บุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง และสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม 2. พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ บุคคลที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง
ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว คือ รู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน, รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ, เป็นต้น
ปัญญา ทำให้เกิดได้ 3 วิธี คือ 1. โดยการสดับตรับฟัง การศึกษาเล่าเรียน (สุตมยปัญญา)
2. โดยการคิดค้น การตรึกตรอง (จินตามยปัญญา) 3. โดยการอบรมจิต การเจริญภาวนา (ภาวนามยปัญญา)
ปัญญา ที่เป็นระดับ อธิปัญญา คือปัญญาอย่างสูง จัดเป็นข้อหนึ่งใน ไตรสิกขา คือ อธิศีล อธิสมาธิ อธิปัญญา
ธรรม (ธรรมะ) หมายถีง ธรรมชาติ, สภาพที่ทรงไว้, สภาวธรรม, สัจธรรม ฯ
พุทธธรรม ของพระพุทธเจ้านั้นแต่เริ่มสืบทอดกันด้วยวิธีท่องจำแบบปากต่อปาก
และมีคำอธิบายจัดไว้เป็นหมวดคัมภีร์ เรียกชื่อต่างๆ อาทิ อรรถกถา, ฎีกา, อนุฎีกา เป็นต้น
ธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้น คำว่า ค้นพบ ย่อมหมายถึง ธรรม เป็นสิ่งที่มีอยู่เดิม มีมาก่อน
ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมพระพุทธองค์ แต่เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้
อาจพอกล่าวได้ว่า การเรียนรู้ ธรรม ก็คือการรับรู้ธรรมดาโลก และเรียนรู้สิ่งที่เป็นปกติ
ที่มีบ่อเกิดที่มาว่ามาอย่างไร เป็นไปได้อย่างไร เช่น พระพุทธเจ้า เป็นต้น
พุทธปัญญา มีวัตถุประสงค์เดียวกันกับ พุทธิปัญญา แต่ความหมายต่างกันดังนี้
พุทธิปัญญา
พุทธิปัญญา (Cognitive) คือ กระบวนการรู้คิด หรือ กระบวนการคิด (Cognitive process)
ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ขอบเขตที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการคิด (Cognitive process) ได้แก่
ความใส่ใจ (Attending) การรับรู้ (Perception) การจำได้ (Remembering)
การคิดอย่างมีเหตุผล (Reasoning) จินตนาการ (Imagining) การคาดการล่วงหน้า (Anticipating)
การตัดสินใจ (Decision) การแก้ปัญหา (problem solving) การจัดกลุ่มสิ่งต่างๆ (Classifying)
การตีความหมาย (Interpreting) ฯลฯ
ร่วมทำบุญสมทบทุนได้ที่ บัญชี พระมานะ จิรวฑฺฒโน ธนาคารกรุงไทย สาขาจอมพระ 3200245425
นะโม
http://www.namo.us
ความหมายคำว่า นะโม ที่คนไทยทุกคนควรรู้
จาก หนังสือ มุตโตทัย ของหลวงปู่มั่น
เว็บ นะโม ของไทย http://www.namo.us
มูลมรดกอันเป็นต้นทุนทำการฝึกฝนตน
เหตุใดหนอ ปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า น คือธาตุน้ำ โม คือ ธาตุดิน พร้อมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา โม เป็นธาตุของ บิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น ฆนะ คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ พ คือลม ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม
ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา โม บิดา เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาส เป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ
มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ
นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มาใส่ตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมด
มูลเหตุแห่งสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุ
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เว้นมหาปัฏฐาน มีนัยประมาณเท่านั้นเท่านี้ ส่วนคัมภีร์มหาปัฏฐาน มีนัยหาประมาณมิได้เป็น "อนันตนัย" เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรอบรู้ได้ เมื่อพิจารณาพระบาลีที่ว่า เหตุปจฺจโย นั้นได้ความว่า เหตุซึ่งเป็นปัจจัยดั้งเดิมของสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุนั้นได้แก่ มโน นั่นเอง มโน เป็นตัวมหาเหตุเป็นตัวเดิม เป็นสิ่งสำคัญ นอนนั้นเป็นแต่อาการเท่านั้น อารมฺมณ จนถึงอวิคฺคต จะเป็นปัจจัยได้ก็เพราะมหาเหตุคือใจเป็นเดิมโดยแท้ ฉะนั้น มโนซึ่งกล่าวไว้ในข้อ ๔ ก็ดี ฐีติ ภูตํ ซึ่งจะกล่าวในข้อ ๖ ก็ดี และมหาธาตุซึ่งกล่าวในข้อนี้ก็ดี ย่อมมีเนื้อความเป็นอันเดียวกัน พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัยก็ดี รู้อะไรๆ ได้ด้วย ทศพลญาณ ก็ดี รอบรู้ สรรพเญยฺยธรรม ทั้งปวงก็ดี ก็เพราะมีมหาเหตุนั้นเป็นดั้งเดิมทีเดียว จึงทรงรอบรู้ได้เป็นอนันตนัย แม้สาวทั้งหลายก็มีมหาเหตุนี้แลเป็นเดิม จึงสามารถรู้ตามคำสอนของพระองค์ได้ด้วยเหตุนี้แลพระอัสสชิเถระผู้เป็นที่ ๕ ของพระปัญจวัคคีย์จึงแสดงธรรมแก่ อุปติสฺส (พระสารีบุตร) ว่า เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ความว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ.....เพราะว่ามหาเหตุนี้เป็นตัวสำคัญ เป็นตัวเดิม เมื่อท่านพระอัสสชิเถระกล่าวถึงที่นี้ (คือมหาเหตุ) ท่านพระสารีบุตรจะไม่หยั่งจิตลงถึงกระแสธรรมอย่างไรเล่า ? เพราะอะไร ทุกสิ่งในโลกก็ต้องเป็นไปแต่มหาเหตุถึงโลกุตตรธรรม ก็คือมหาเหตุ ฉะนั้น มหาปัฏฐาน ท่านจึงว่าเป็น อนันตนัย ผู้มาปฏิบัติใจคือตัวมหาเหตุจนแจ่มกระจ่างสว่างโร่แล้วย่อมสามารถรู้อะไรๆ ทั้งภายในและภายนอกทุกสิ่งทุกประการ สุดจะนับจะประมาณได้ด้วยประการฉะนี้
มูลการของสังสารวัฏฏ์
ฐีติภูตํ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ
คนเราทุกรูปนามที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่เกิดทั้งสิ้น กล่าวคือมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติปัจจยาการแต่เพียงว่า อวิชฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เท่านั้น อวิชชา เกิดมาจากอะไรฯ ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่ พวกเราก็ยังมีบิดามารดาอวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า ฐีติภูตํ นั่นเองเป็นพ่อแม่ของอวิชชา ฐีติภูตํ ได้แก่ จิตดั้งเดิม เมื่อฐีติภูตํ ประกอบไปด้วยความหลง จึงมีเครื่องต่อ กล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้วจึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็นสังขารพร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติคือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียก ปัจจยาการ เพราะเป็นอาการสืบต่อกัน วิชชาและอวิชชาก็ต้องมาจากฐีติภูตํเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อฐีติภูตํกอปรด้วยวิชชาจึงรู้เท่าอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง นี่พิจารณาด้วยวุฏฐานคามินี วิปัสสนา รวมใจความว่า ฐีติภูตํ เป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิด) ท่านจึงเรียกชื่อว่า "มูลตันไตร" (หมายถึงไตรลักษณ์) เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัดสังสารวัฏฏ์ให้ขาดสูญ จึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิมให้มีวิชชารู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง ก็จะหายหลงแล้วไม่ก่ออาการทั้งหลายใดๆ อีก ฐีติภูตํ อันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ด้วยประการฉะนี้
เจริญพร
พระมานะ จิรวฑฺฒโน "คิดดี ทำดี"
อีเมล dmtv1@live.com มือถือ 086 2547 199
วัดโพธิ์ศรีสว่าง ตำบลทับใหญ่ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์
นะโม
http://www.namo.us
ความหมายคำว่า นะโม ที่คนไทยทุกคนควรรู้
จาก หนังสือ มุตโตทัย ของหลวงปู่มั่น
เว็บ นะโม ของไทย http://www.namo.us
มูลมรดกอันเป็นต้นทุนทำการฝึกฝนตน
เหตุใดหนอ ปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า น คือธาตุน้ำ โม คือ ธาตุดิน พร้อมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา โม เป็นธาตุของ บิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น ฆนะ คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ พ คือลม ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม
ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา โม บิดา เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาส เป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อนแล้วจึงทำกิริยาน้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปลต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุน ทำการฝึกหัดปฏิบัติตนไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ
มูลฐานสำหรับทำการปฏิบัติ
นโม นี้ เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้น ยังไม่สมประกอบหรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะจากตัว น มาใส่ตัว ม เอาสระ โอ จากตัว ม มาใส่ตัว น แล้วกลับตัว มะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ทั้งกายทั้งใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือใจนี้เป็นดั้งเดิม เป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมด ได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติออกไปจาก ใจ คือมหาฐาน นี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก มโน แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมมติทั้งหลายในโลกนี้ต้องออกไปจากมโนทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมมติบัญญัติตามกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลง หลงถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราไปหมด
มูลเหตุแห่งสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุ
พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เว้นมหาปัฏฐาน มีนัยประมาณเท่านั้นเท่านี้ ส่วนคัมภีร์มหาปัฏฐาน มีนัยหาประมาณมิได้เป็น "อนันตนัย" เป็นวิสัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรอบรู้ได้ เมื่อพิจารณาพระบาลีที่ว่า เหตุปจฺจโย นั้นได้ความว่า เหตุซึ่งเป็นปัจจัยดั้งเดิมของสิ่งทั้งหลายในสากลโลกธาตุนั้นได้แก่ มโน นั่นเอง มโน เป็นตัวมหาเหตุเป็นตัวเดิม เป็นสิ่งสำคัญ นอนนั้นเป็นแต่อาการเท่านั้น อารมฺมณ จนถึงอวิคฺคต จะเป็นปัจจัยได้ก็เพราะมหาเหตุคือใจเป็นเดิมโดยแท้ ฉะนั้น มโนซึ่งกล่าวไว้ในข้อ ๔ ก็ดี ฐีติ ภูตํ ซึ่งจะกล่าวในข้อ ๖ ก็ดี และมหาธาตุซึ่งกล่าวในข้อนี้ก็ดี ย่อมมีเนื้อความเป็นอันเดียวกัน พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัยก็ดี รู้อะไรๆ ได้ด้วย ทศพลญาณ ก็ดี รอบรู้ สรรพเญยฺยธรรม ทั้งปวงก็ดี ก็เพราะมีมหาเหตุนั้นเป็นดั้งเดิมทีเดียว จึงทรงรอบรู้ได้เป็นอนันตนัย แม้สาวทั้งหลายก็มีมหาเหตุนี้แลเป็นเดิม จึงสามารถรู้ตามคำสอนของพระองค์ได้ด้วยเหตุนี้แลพระอัสสชิเถระผู้เป็นที่ ๕ ของพระปัญจวัคคีย์จึงแสดงธรรมแก่ อุปติสฺส (พระสารีบุตร) ว่า เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ความว่า ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ.....เพราะว่ามหาเหตุนี้เป็นตัวสำคัญ เป็นตัวเดิม เมื่อท่านพระอัสสชิเถระกล่าวถึงที่นี้ (คือมหาเหตุ) ท่านพระสารีบุตรจะไม่หยั่งจิตลงถึงกระแสธรรมอย่างไรเล่า ? เพราะอะไร ทุกสิ่งในโลกก็ต้องเป็นไปแต่มหาเหตุถึงโลกุตตรธรรม ก็คือมหาเหตุ ฉะนั้น มหาปัฏฐาน ท่านจึงว่าเป็น อนันตนัย ผู้มาปฏิบัติใจคือตัวมหาเหตุจนแจ่มกระจ่างสว่างโร่แล้วย่อมสามารถรู้อะไรๆ ทั้งภายในและภายนอกทุกสิ่งทุกประการ สุดจะนับจะประมาณได้ด้วยประการฉะนี้
มูลการของสังสารวัฏฏ์
ฐีติภูตํ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ
คนเราทุกรูปนามที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่เกิดทั้งสิ้น กล่าวคือมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติปัจจยาการแต่เพียงว่า อวิชฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เท่านั้น อวิชชา เกิดมาจากอะไรฯ ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่ พวกเราก็ยังมีบิดามารดาอวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า ฐีติภูตํ นั่นเองเป็นพ่อแม่ของอวิชชา ฐีติภูตํ ได้แก่ จิตดั้งเดิม เมื่อฐีติภูตํ ประกอบไปด้วยความหลง จึงมีเครื่องต่อ กล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้วจึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็นสังขารพร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติคือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียก ปัจจยาการ เพราะเป็นอาการสืบต่อกัน วิชชาและอวิชชาก็ต้องมาจากฐีติภูตํเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อฐีติภูตํกอปรด้วยวิชชาจึงรู้เท่าอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง นี่พิจารณาด้วยวุฏฐานคามินี วิปัสสนา รวมใจความว่า ฐีติภูตํ เป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิด) ท่านจึงเรียกชื่อว่า "มูลตันไตร" (หมายถึงไตรลักษณ์) เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัดสังสารวัฏฏ์ให้ขาดสูญ จึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิมให้มีวิชชารู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง ก็จะหายหลงแล้วไม่ก่ออาการทั้งหลายใดๆ อีก ฐีติภูตํ อันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ด้วยประการฉะนี้
เจริญพร
พระมานะ จิรวฑฺฒโน "คิดดี ทำดี"
อีเมล dmtv1@live.com มือถือ 086 2547 199
วัดโพธิ์ศรีสว่าง ตำบลทับใหญ่ อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)